when a poet fell in love - when a poet fell in love นิยาย when a poet fell in love : Dek-D.com - Writer

    when a poet fell in love

    ความรักคืออุบัติเหตุ

    ผู้เข้าชมรวม

    185

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    2

    ผู้เข้าชมรวม


    185

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    3
    หมวด :  นิยายวาย
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  22 มิ.ย. 64 / 17:56 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น


    when a poet fell in love

     

    จะเป็นอย่างไร เมื่อนักกวีมีความรัก

    ผมนั่งคบคิด ปล่อยให้หัวคิ้วขมวดมุ่น ก่อนที่จะปล่อยให้หน้ากระดาษว่างเปล่า ยอมแพ้ที่จะวางมันลงช้าๆ แล้วสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทิ้งสายตาออกไปยังนอกระเบียง มองดูแสงสว่าง มองผู้อากาศรอบกาย ฝุ่นผงชิ้นน้อยลอยละล่องไปทั่ว สักพักก็มีผีเสื้อตัวสีขาวสะอาดบินมาเกาะตรงกระถางดอกไม้ ปีกของมันกระพือไปมาพอน่ารัก ผมโฟกัสกับมันเพียงเสี้ยววินาที ก่อนที่สายตาจะมองผ่านลงไปยังสนามหญ้าของบ้านที่อยู่ข้างกัน

    ชายคนหนึ่งวิ่งพร้อมถือโทรศัพท์ติดตัว สีหน้าของเขาดูเหมือนจะมีความสุข รอยยิ้มกว้างสว่างสดใส เขารีบคร่อมจักรยานยนต์ของตัวเอง แล้วขี่ออกไป ไม่กี่วินาทีต่อมา บ้านทั้งบ้างก็ว่างเปล่า หลงเหลือเพียงความเงียบเหงาและอ้างว้างก่อตัวอีกครั้ง

    ผมถอนหายใจ หลุบตาลงมองดูสมุดเปล่าข้างตัว หยิบเอาปากกาแท่งเดิมขึ้นมา ขีดฆ่าชื่อเรื่องเดิมที่เขียนไว้ด้านหน้าสุด ก่อนจะนิ่งไปสักพัก

    จะเป็นอย่างไร เมื่อนักกวีมีความรัก

    ขีดทิ้งไป เพราะไม่มีเรื่องราวอะไรที่มากพอจะเป็นแรงให้เขียนมันได้เลย

    นั่งคิด นอนคิด ลุกขึ้นมาเล่นกับพุดดิ้ง สุนัขพันธุ์ซามอยด์ขนฟูฟ่องของตัวเองก่อนจะย่อตัวลงถามมันช้าๆ ภาพในตอนนี้ช่างดูโง่เง่าสิ้นดี ผมไร้ปัญญาจะสานต่อบทกวีของตัวเอง จนต้องลงมานั่งยองๆคุยกับสุนัขเสียแล้ว

    ดวงตาของมันใสแป๋ว จ้องมองผู้ให้อาหารทุกเช้าเย็น แลบลิ้นสีชมพูออกมาพร้อมเอียงคอเล็กน้อย

    ผมจะถามยังไงให้เข้าใจ

    จะถามยังไงจะให้ตอบได้ ว่ามันจะเป็นอย่างไร เมื่อนักกวีมีความรัก

    ว่ากันว่ามันหวานหอมเหมือนน้ำผึ้งเดือนห้า ว่ากันว่ามันอบอุ่นเหมือนดวงอาทิตย์ดวงใหญ่ที่สดใสกว่าอะไรทั้งหมด ความรู้สึกเหมือนมีผีเสื้อนับร้อยนับพันวนเวียนอยู่ในตัว นุ่มนวลเหมือนล่องลอยอยู่ท่ามกลางก้อนเฆฆที่ฟูฟ่อง ทุกอย่างมันช่างฟังดูเว่อร์เกินจริงชะมัด

    ผมนั่งคิดอยู่อย่างนั้น และหน้ากระดาษยังคงว่างเปล่าอยู่อย่างนั้น

    จนกระทั่งจุดพลิกผันได้เข้ามาสู่ชีวิต

    วันนั้นเป็นคืนที่ฝนตกหนัก ท้องฟ้ามืดมิดไปหมด ฟ้าแลบฟ้าร้องจนน่ากลัว กลับกัน เสียงของพุดดิ้งกลับเห่าดังไม่หยุด

    คราวแรกผมนึกรำคาญ เพราะเพิ่งได้นอน แต่วินาทีต่อมาก็ต้องหวั่นใจ รีบคว้าเอากรรไกรคมติดมือไว้แล้วค่อยย่องลงจากเตียง ลูกชายตัวขาวกำลังเกาะหน้าต่าง แล้วส่งเสียงเห่าออกไปทางด้านนอก ผมยืน จ้องมองผ่านหน้าต่างบานเดียวกันกับลูกชาย ก่อนจะค่อยลดกรรไกรลงช้าๆ

    ชายคนนั้น คนที่เคยเป็นเจ้าของรอยยิ้มสดใส กำลังนั่งร้องไห้อยู่หน้าบ้านของตัวเอง

    ผมตกใจ นึกว่าผี แต่พอมองดีๆถึงจำได้ว่าเป็นเขา

    เกิดอะไรขึ้นกับเขากันนะ ประตูบ้านก็อยู่ตรงหน้า ทำไมไม่เปิดประตูเข้าไปร้องไห้ในบ้านดีๆ

    คิดวุ่นวายอยู่ในใจสักพักใหญ่ๆ จึงยอมแบกร่มตัวเองออกไปนอกบ้าน ทั้งๆที่ตอนนั้นควรจะเป็นเวลานอนของตัวเองแล้ว

    พอเม็ดฝนไม่โดนตัว ผู้ชายคนนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองกันเชื่องช้า ดวงตาของเขาบวมแดงน่ากลัว มองลึกลงไป เห็นแต่ความว่างเปล่า อ้างว้าง เดียวดาย และแตกสลายเหมือนกับสภาพภายนอกของเขาในตอนนี้

    ผมเคยเห็นเขาบ่อยครั้ง แต่นี่จะเป็นครั้งแรกที่เราสองคนได้คุยกัน

    เป็นวันแรกของฤดูฝน วันที่ผมและเขาได้รู้จักกันเป็นครั้งแรก

    “กุญแจบ้านหาย?”

    ตัดสินใจพาเขากลับมาที่บ้าน หาเสื้อตัวใหม่มาให้เปลี่ยน ก่อนจะยื่นแก้วน้ำอุ่นให้คนข้างบ้าน ผมเลิกคิ้วขึ้นแล้วถามเสียงหลง เวลาตีสอง มนุษย์สองคนและสุนัขหนึ่งตัว นั่งประชุมกันโดยมิได้นัดหมาย

    “เกิดอะไรขึ้น”

    คำถามสุดแสนจะเบสิคถูกเอ่ยออกไป ไม่คิดว่าเขาจะเปราะบางถึงขั้นน้ำตาร่วงอีกครั้ง มองลึกเข้าไป ฟังเขาพูดไม่กี่คำ ก็ถึงได้รู้แล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้น

    ครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นเจ้าของความรัก และครั้งนี้มันสูญหายไป

    มีคำถามมากมายที่ยังวนเวียนอยู่ภายในหัว แต่ไม่กล้าจะเอ่ยถาม

    อยากรู้ อยากจะถามเขาเหลือเกิน...ความรักเป็นเช่นไร อกหักเป็นเช่นไร เจ็บปวดเพราะรักเป็นเช่นใด

    อ่านมามากมาย หนังสือพวกนั้นน่ะ ผู้คนล้วนพากันหาคำนิยามให้กับสิ่งที่มองไม่เห็น อธิบายมันออกมาด้วยความรู้ความเข้าใจของตนเอง บ้างก็อธิบายด้วยความรู้สึก พวกเขาต่างบอกว่าความรักของแต่ละคนมักจะมีนิยามที่แตกต่างกัน และความรักของพวกเขาในแต่ละครั้ง ก็ไม่ได้มีนิยามเหมือนกันเสมอไป

    ผมยังคงนั่งมองชายข้างบ้านคนนั้น เขาล้มป่วยทั้งๆที่ยังหากุญแจบ้านไม่เจอ สภาพเละเทะยิ่งกว่าตอนพุดดิ้งเล่นโคลนเสียอีก เจ้าสุนัขพันธุ์ซามอยด์คอยเดินวนดมกลิ่นฟุดฟิดไปมาราวกับยังไม่ไว้ใจคนแปลกหน้าสักเท่าไรนัก เขานอนพักอยู่นานกว่าจะส่งเสียงพึมพำ ค่อยๆยันตัวลุกขึ้นนั่งโงนเงนบนโซฟาตัวยาว

    “หิวไหม”

    “ขอบคุณ”

    “ไม่เป็นไร”

    ค่อนข้างเกร็งอยู่เหมือนกัน กับการพูดคุยกับใครสักคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ผมไม่ใช่คนที่คุยเก่ง ทำได้แค่นั่งโง่ๆ ขยับปลายเท้าตัวเองไปมา ส่วนคนป่วยคนนั้นก็ยังนั่งจิบน้ำอุ่นในแก้วไปพลางๆ ผมเองก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไงกับเขาต่อดี บอกให้เขาติดต่อใครสักคนที่รู้จัก โทรศัพท์มือถือก็ดันแบตหมด วุ่นวายต้องช่วยหาสายชาร์จให้อีก

    “ขอบคุณ”

    คำขอบคุณครั้งที่เท่าไรไม่รู้หลุดออกมาจากปากเขา

    “อกหักเหรอ”

    “ประมาณนั้น”

    “มัน...เจ็บมากเหรอ”

    ถามออกไปเหมือนคนโง่ เห็นอยู่กับตาว่าเขามีสภาพแบบไหน ก็ยังเอ่ยถามออกไป

    เขาคงรู้ว่าผมเองคงไม่เคยจะพบเจอกันมันถึงได้แค่นยิ้มบางเบาออกมา ไม่ใช่ยิ้มให้ผมหรอก แต่นั่นดูเหมือนเขากำลังสมเพชตัวเองลึกๆมากกว่า

    เขาว่ากันว่าความรักมีหลายรูปแบบ มีหลายระดับ ผมเองก็ไม่กล้าประเมินกว่าที่เขาเจ็บปวดอยู่นี้เป็นความเจ็บปวดที่ได้มาจากความรักในระดับไหน แต่ยิ่งเจ็บมาก มันก็คงพอจะเดาได้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขาไม่ใช่แค่ความรู้สึกชั่ววูบหรือผิวเผินแน่ๆ

    ผมถามเขาว่า เสียใจไหมที่รัก รู้สึกผิดไหมที่รัก

    เขาส่ายหน้า ปฏิเสธทุกอย่าง

    เขาบอกว่าเขายินดี และยังรู้สึกขอบคุณที่ครั้งหนึ่งตัวเองเคยพบเจอมัน

    ผมยังคงไม่เข้าใจ ยังคงสับสน เจ็บปวดขนาดนี้ ร้องไห้จนตาบวมจนแทบจะลืมไม่ขึ้น ทำไมถึงยังรู้สึกอยากจะขอบคุณมัน ทำไมถึงยังตอบได้เต็มปากเต็มคำว่าไม่รู้สึกเสียดายวันเวลาเหล่านั้นเลย

    “ความรักมันไม่ได้เข้าใจยากอะไรขนาดนั้น คุณอย่าเอาตรรกะอะไรจากมันนักเลย”

    เขาบอกผม ทั้งๆที่ดวงตายังไม่คลายความโศกเศร้า

    ไม่เข้าใจยากอย่างนั้นหรือ? พูดดออกมาไม่ดูสีหน้าตัวเองเลยแม้แต่น้อย

    “ความรู้สึกคนเรามันซับซ้อนเกินกว่าที่จะหาสูตรคำนวณให้มัน”

    “ขนาดนั้นเชียว”

    “ขนาดนั้นแหละ”

    “ผมจะไม่ปลอบคุณหรอกนะ เพราะไม่รู้จะปลอบยังไง”

    “ไม่ต้องปลอบหรอก ช่วยแค่นี้ก็มากพอแล้วล่ะ”

    “อีกนานไหมกว่าจะดีขึ้น”

    “ไม่รู้สิ”

    “เคยเป็นมาก่อนไหม”

    “หมายถึงอกหักน่ะเหรอ?”

    “อืม”

    “เคยสิ บ่อยด้วย”

    “แล้ว...”  แล้วทำไมถึงยังไม่ชินกับมัน แล้วทำไมถึงยังเจ็บปวด แล้วทำไมถึงยังกลับมาร้องไห้เสียใจอีก

    “ก็บอกไปแล้ว อย่าเอาอะไรกับความรักมากเลย”

    “เขาบอกว่าความรักต้องไม่ใช่สิ่งที่ทำให้เจ็บปวด คุณรู้ได้ยังไงว่าสิ่งที่เป็นอยู่ในตอนนั้นมันเรียกความรักจริงๆ”

    “คนที่มีความรักจริงๆ เขาไม่ตั้งคำถามกับมันหรอก”

    “...”

    “สักวันหนึ่ง ทุกคำถามที่คุณถามผม คุณจะได้รับคำตอบจากการมองตาใครสักคน”

    “...”

    “แค่วินาทีเดียว เขาคนนั้นจะตอบคุณทุกอย่าง”

    ชั่วขณะที่เขาคลายความเศร้าโศก เหมือนสีหน้าดีขึ้นเมื่อได้นึกถึงหนังเรื่องที่เพิ่งจบไป

    สุดท้ายแล้วความรักสำหรับเขาก็คงเป็นเหมือนหนังเรื่องหนึ่ง ฉายจนถึงตอนจบ แล้วก็เดินออกจากโรง แต่ยังคงเก็บความรู้สึกประทับใจ ความรู้สึกเสียใจ และโฉมหน้าของนักแสดงเอาไว้ แม้จะเดินไปดูหนังเรื่องใหม่ สักวันก็คงจะคิดถึงนักแสดงในหนังเรื่องเดิม แต่ถ้าวันหนึ่งเขาได้พบเจอนักแสดงคนใหม่ที่ประทับใจ วันนั้นหนังเรื่องใหม่ก็จะเป็นความสุขของเขา

    เขาจะมีความสุข เว้นเสียแต่จะหานักแสดงคนใหม่มาแทนไม่ได้

    แต่ก็นั่นแหละนะ ความรักกับหนังสักเรื่องมันจะเทียบกันได้ยังไง

    “คุณคิดว่าตัวเองจะยังมีความรักได้อีกครั้งไหม”

    “แน่นอน”

    “ทั้งๆที่คุณเองก็ผ่านมันมาเยอะแล้ว ยังจะเปิดใจรับมันอีกเหรอ ไม่กลัวจบแบบเดิมหรือไง”

    “คุณเชื่อไหม คนเราไม่ได้กลัวความตาย ไม่ได้กลัวความรัก ไม่ได้กลัวรถชน ไม่ได้กลัวจมน้ำหรอกนะ”

    “...”

    “สิ่งที่เรากลัวน่ะ มันคือความเจ็บปวดต่างหาก”

    “สรุปแล้วคุณก็ยังอยากลองดีอยู่อีก”

    “จะว่าอย่างนั้นก็ใช่แหละนะ”

    “เอาเถอะ ก็ขอให้ครั้งต่อๆไปคุณได้สมหวังอย่างคนอื่นเขาสักที”

    “ขอบคุณที่อวยพร”

    “ถ้าเกิดวันหนึ่ง...คุณรู้ตัวแล้วว่ามันอาจจะจบแบบเดิม คุณจะยังไปต่อไหม หรือจะรีบถอยออกมา”

    “ถ้าครั้งหนึ่งคุณเริ่มถลำลึกไปแล้ว...มันยากจริงๆนะที่จะหยุดตัวเองได้ทัน”

    “...”

    “ถ้าเป็นผม ก็คงไปจนสุดทางนั่นแหละ”

    ฟังดูแล้วเขาเหมือนคนโง่ รู้ทั้งรู้ว่าจะเจ็บปวด รู้ทั้งรู้ว่าจะต้องมานั่งกอดเข่าร้องไห้ ทำกุญแจบ้านหาย จนต้องให้เพื่อนบ้านเปิดประตูช่วยเหลือตอนตีสอง แต่เขาก็ยังยอมที่จะเสี่ยงอีกรอบ

    เขาเป็นคนแปลก ที่ผมไม่เคยพบเจอมาก่อนในชีวิต

    บทสัมภาษณ์เรื่องความรักถูกบันทึกเอาไว้ในหัว ทุกๆคำพูดของเขาถูกเรียบเรียงเอาไว้พร้อมโน๊ตด้วยดอกจันสีแดงตัวใหญ่ เขียนทับเอาไว้ว่า ไม่เข้าใจ

    “คุณไม่สามารถเรียนรู้ความรักจากประสบการณ์ของคนอื่นได้หรอกนะ”

    “คุณคิดอย่างนั้นเหรอ”

    “ใช่แล้ว”

    “อืม ผมคงไม่เรียนรู้มันจากคุณหรอก ไม่อยากเป็นนักสะสมความเจ็บปวดแบบคุณเหมือนกัน”

    “มันก็ไม่ใช่ว่าจะเจ็บปวดไปทั้งหมดหรอกนะ”

    “เขาว่ากันว่าความรักเก่าจะเป็นเหมือนบาดแผล คุณคิดยังไงกับประโยคนี้”

    “สำหรับผมมันไม่จริงไปทั้งหมด”

    “...”

    “จะมีบางคนที่ทำให้รู้สึกดีใจจริงๆที่อย่างน้อยครั้งหนึ่งก็ได้สบตากับเขา ได้รับรอยยิ้มจากเขา และได้มอบหัวใจให้เขา”

    “...”

    “ความทรงจำดีๆแบบนั้น... ผมไม่กล้าเรียกเขาว่าเป็นรอยแผลเป็นของตัวเองหรอกนะ”

    “...”

    “ต่อให้รู้อยู่แล้วว่าวันหนึ่งเขาเองก็คงจะเดินทางไปสบตา ไปมอบรอยยิ้ม มอบหัวใจให้ใครอีกคนที่ไม่ใช่ผม นั่นก็ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรเลย เพราะผมเองก็ยังเดินทางเพื่อจะหาคนที่ตัวเองจะได้มอบทุกอย่างเอาไว้ในมือของคนคนนั้นเหมือนกัน”

    แววตาของเขาตอนพูดถึงเรื่องนี้ เหมือนกับคนกำลังค่อยๆปลูกดอกไม้ให้โตขึ้นในส่วนที่ดำมืดที่สุดในใจ แม้จะไม่ค่อยมีหวังสักเท่าไร แต่ก็ยังคงพยายามจะดูแลมัน

    เอาเถอะ ยังไงคนต่อๆไป ก็คงไม่เหมือนแฟนเก่าคนนั้นของเขาไปเสียทั้งหมด

    ได้แต่ช่วยภาวนาว่าให้มีสักวันที่ดอกไม้ของเขาจะโตจนสามารถพบเจอแสงสว่างอีกครั้ง เบ่งบานเต็มที่ และพร้อมที่จะมอบมันให้กับใครสักคน

    “อืม ขอให้เจอ”

    “ขอให้เจอเหมือนกัน”

    “คงยาก”

    “ไม่ยากขนาดนั้นหรอก”

    บางครั้งผู้ชายคนนี้ก็น่าโมโห เขาเอาแต่พูดว่ามันไม่ยากๆอยู่นั่น ทั้งๆที่พูดมาผมแทบจะไม่เข้าใจไปด้วยเลย

    “ช่วงนี้หน้าฝน คุณก็อย่าอกหักให้มันบ่อยนักก็แล้วกัน”

    “ฮะๆ จะพยายามนะ”

    “ไม่ใช่ทุกคนที่จะตากฝนแล้วเท่เหมือนพระเอกเอ็มวี”

    “ครับๆ จะพยายามไม่อกหักบ่อย จะได้ไม่ลืมกุญแจบ้านอีก”

    “ไม่ทำกุญแจบ้านหายต่างหาก”

    “อ่าห้ะ ไม่ทำกุญแจบ้านหายอีกแล้ว”

    “อืม ถ้าทำได้ก็ดี”

    “มีอะไรอยากจะสัมภาษณ์ผมอีกหรือเปล่า”

    มีอะไรอยากจะถามเขาอีกหรือเปล่านะ

    ไม่น่าจะมีแล้วล่ะ ปล่อยเขาไปพักผ่อนได้แล้วล่ะ ผมคิดว่าวันนี้คงเก็บข้อมูลเพียงพอแล้ว

    ปล่อยให้เขาติดต่อเพื่อน แล้วเดินออกจากบ้านไป ส่วนตัวเองก็เดินกลับขึ้นไปนั่งตรงระเบียงชั้นบน ชำเลืองมองดูเพื่อนบ้านตาบวมคนนั้นที่กำลังยืนโบกมือให้กัน

    ในตอนนั้นเอง คำตอบทั้งหลายที่เคยใส่ดอกจันตัวสีแดงขนาดใหญ่ก็ปลดล็อกทุกคำตอบ

    ผมหันกลับไปหยิบเอาสมุดเล่มเดิมของตัวเองขึ้นมาอีกครั้ง ตัวหนังสือของตัวเองยังถูกขีดฆ่าเอาไว้ ผมจึงฉีกกระดาษหน้านั้นออกไป แล้วค่อยๆบรรจงเขียนอะไรบางอย่างลงไปแทนที่

    สุดท้าย...ก็ได้คำตอบของคำถาม เป็นอย่างที่เขาว่า เพียงแค่สบตา ทุกอย่างที่สงสัยก็จะได้รับคำตอบ

     

    When a poet fell in love

     He’ll  lose.

     

    มั่นใจ ว่าจะพ่ายแพ้ และกลายเป็นคนที่ลืมทุกสิ่งทุกอย่างที่ตัวเองเคยคิดว่าเก่ง ลืมทุกจินตนาการ ทุกๆความคิดก่อนหน้านั้นไปทั้งหมด สิ่งเดียวที่จะพอจดจำได้ คงหนีไม่พ้นแววตา และรอยยิ้มที่ได้รับ

    เมื่อวันนั้นมาถึง ผมจะยืนสบตากับคนคนนั้น รอจนกว่าเขาจะมอบรอยยิ้มให้กัน และจะยกมือยอมแพ้ ปล่อยให้เขาเข้ามาเอาทุกๆความรู้สึก ทุกๆความคิดของตัวเองไป โดยที่ไม่แม้แต่จะเสียใจที่ปล่อยให้เขาเข้ามาสัมผัสมัน

    วันที่เท่าไรไม่รู้ในหน้าฝน ผม และสุนัขหนึ่งตัว ยังคงนั่งอยู่ตรงระเบียง เหลือบมองดูรอยยิ้มของผู้ชายข้างบ้านคนนั้น กระทั่งเขาหยุดโบกมือและหายกลับเข้าไปในตัวบ้านของตัวเอง

    ผ่านไปหลายวัน ก็มองเห็นแล้ว ดอกไม้ที่เขาปลูกดอกนั้นน่ะ  มันสวยไม่น้อยเลย

    ได้แต่หวังว่าเขาจะดูแลมันอย่างดี และพร้อมที่จะได้มอบมันให้กับใครสักคนในวันต่อไป

    ส่วนผม...ก็จะเรียนรู้ที่จะค่อยๆปลูกมันเอาไว้ จะพยายามหาปุ๋ยมาใส่ หาน้ำมารด จนกว่ามันเติบโตและเบ่งบาน พร้อมที่จะมอบให้กับใครสักคนเหมือนกัน

     

     

    โฮ่ง! โฮ่ง!’

     

    นี่ไม่ใช่เวลาตีสอง ไม่ใช่วันที่มีฝนตกหนัก กลับเป็นวันที่ท้องฟ้าปลอดโปร่ง สว่างสดใส และเต็มไปด้วยสายลมเย็นๆ แต่กลับได้ยินเสียงของเจ้าพุดดิ้งเห่าเหมือนเดิม

    ผมได้กลิ่นหอมอ่อนๆของดอกกุหลาบหนึ่งดอก ที่ตอนนี้กำลังถูกยื่นมาให้ตรงหน้า

    “ฝนหยุดตกแล้ว ออกไปปลูกดอกไม้ด้วยกันหน่อยไหม”

    และแล้ววันนั้นก็มาถึง วันที่เราทั้งคู่ต่างเด็ดดอกไม้ที่ตั้งใจปลูกมอบให้กันและกัน

    ตอนนี้ พบเจอแล้ว คำนิยามของความรักในแบบของตัวเอง

    ความรักคืออุบัติเหตุ

    และอุบัติเหตุที่ว่านั่น ก็คือ เขา ความรักที่ตามหา ที่เฝ้ารอ ก็คือเขา

     คำตอบสั้นๆ ง่ายๆ แต่เหมือนอัดถ้อยคำนับล้าน ย่อหน้านับพันเอาไว้ ให้อธิบายจนตายก็ไม่มีวันจะเขียนมันออกมาได้จนหมด

    ผมมองดูเขาอีกครั้ง และอีกครั้ง... นึกย้อนกลับไปถึงสิ่งที่ตัวเองเคยเขียนเอาไว้บนหน้ากระดาษว่างเปล่าหน้านั้น

    เห็นไหม บอกแล้ว

    ผมจะแพ้...จะพ่ายแพ้ต่อเขา  พ่ายแพ้ต่อสายตา รอยยิ้ม ดอกไม้ดอกนั้น และความรักจากเขา

    จะไม่นึกเสียใจ ถ้าหากวันหนึ่งจะต้องเสียใจ

     

    When a poet fell in love

     He’ll  lose.

     

     


    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×